ประโยค หมายถึง ถ้อยคำหลายคำที่นำมาเรียงกันแล้วเกิดใจความสมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยภาคประธาน และภาคแสดง ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้ทั้งทางภาษาเขียน หรือภาษาพูด แต่การใช้ภาษาพูดในสถานการณ์ต่างๆกัน อาจละเว้นส่วนหนึ่งส่วนใดได้ในฐานที่เข้าใจกันระหว่างผู้พูด และผู้ฟัง ลักษณะของประโยคต่างๆ จำแนกตามโครงสร้าง ดังต่อไปนี้
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งรูปแบบของประโยคความเดียวตามลักษณะการสื่อสาร ได้แก่
ประโยคบอกเล่า โดยมากประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม และอาจมีส่วนขยายต่างๆ เพื่อให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- กรุณาถอดรองเท้า
ประโยคความซ้อน หมายถึง ประโยคที่รวมประโยคความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป โดยมีคำสันธาน เช่น และแต่ หรือ ก็ เป็นตัวเชื่อม ประโยคความรวมมี ๔ ชนิด ได้แก่
๑. ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค)
ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) หมายถึง ประโยคที่กล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวและสิ่งนั้นแสดงกริยาอาการ หรืออยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ประโยคประกอบด้วยภาคประธาน และภาคแสดง เช่น
Add caption |
รูปประโยคความเดียว แบ่งได้เป็น ๔ แบบ ดังนี้
๑.๑ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยผู้กระทำ เช่น
- แม่ทำกับข้าว
- ยายป้อนข้าวน้อง
๑.๒ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยผู้ถูกกระทำ เช่น
- กระดาษถูกครูตัด
- ต้นไม้ถูกปลูกหลายต้น
๑.๓ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยกริยา เช่น
- เกิดเหตุการณ์จลาจลที่ต่างประเทศ
- ฝนตกหนักที่นนทบุรี
๑.๔ ประโยคเชิงคำสั่งและขอร้อง เช่น
- อย่าเดินลัดสนาม (คำสั่ง)
- กรุณาเดินชิดด้านใน (ขอร้อง)นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งรูปแบบของประโยคความเดียวตามลักษณะการสื่อสาร ได้แก่
ประโยคบอกเล่า โดยมากประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม และอาจมีส่วนขยายต่างๆ เพื่อให้มีใจความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- ครูกำลังสอนหนังสือนักเรียนชั้น ป.๒
- ฉันเดินไปตลาดนัดคนเดียว
ประโยคปฏิเสธ โดยมากมักมีคำว่า ไม่ มิใช่ หามิได้ ประกอบตัวแสดง เช่น
- เขาไม่ได้มาหาฉันนานแล้ว
- ผมไม่ชอบกินผัก
ประโยคคำสั่งและขอร้อง โดยมากจะละประธานไว้ในฐานที่เข้าใจ มีเฉพาะแต่แสดง เช่น
- ทำงานบ้านเดี๋ยวนี้
- กรุณาถอดรองเท้า
ประโยคคำถาม โดยมากจะมีคำถามกำกับอยู่ต้น หรือท้ายประโยค เช่น
- หนูนาชอบกินอะไร
- เธอเรียนอยู่ชั้นไหน
- หนูเป็นลูกของใคร
๒. ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค)
ประโยคความซ้อน หมายถึง ประโยคที่รวมประโยคความเดียวตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป โดยมีคำสันธาน เช่น และแต่ หรือ ก็ เป็นตัวเชื่อม ประโยคความรวมมี ๔ ชนิด ได้แก่
๒.๑ ประโยคความรวมแบบคล้อยตาม จะมีเนื้อหาคล้อยตามกัน เช่น
- พนักงานดับไฟสงบแล้วจึงเข้าไปตรวจในพื้นที่
๓. ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค)

- ท่านพุทธทาสภิกขุสอนว่าสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
- ครั้นถูกครูดุแล้วเขาจึงตั้งใจเรียน
๒.๒ ประโยคความรวมแบบขัดแย้ง จะมีเนื้อความขัดแย้งกัน เช่น
- กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว
- เธอเป็นคนปากหวานแต่ก็ไม่จริงใจ
๒.๓ ประโยคความรวมแบบเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีเนื้อความขัดแย้งกัน เช่น
- ไม่เขาก็เธอต้องออกไปพูดหน้าห้อง
- คุณต้องการดื่มชาหรือกาแฟ
๓. ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค)
ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความหลักประโยคหนึ่ง แล้วมีประโยคย่อยอีกประโยคหนึ่งซ้อนอยู่ ซึ่งประโยคย่อยนั้นอาจทำหน้าที่เป็นคำนาม ขยายนาม หรือสรรพนาม หรือขยายกริยาหรือวิเศษณ์ ประโยคความซ้อนมี ๓ ชนิด ได้แก่
๓.๑ นามานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม ซึ่งนามนั้นอาจทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม หรือส่วนเติมเต็มในประโยคก็ได้ เช่น- คนเห็นแก่ตัวเป็นคนที่สังคมรังเกียจ
๓.๑ นามานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่แทนนาม ซึ่งนามนั้นอาจทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม หรือส่วนเติมเต็มในประโยคก็ได้ เช่น- คนเห็นแก่ตัวเป็นคนที่สังคมรังเกียจ
- ผมชอบมองนกนางนวลบินโฉบไปมา
- นักเรียนที่สอบได้ที่ ๑ ให้ออกมารับรางวัล- ท่านพุทธทาสภิกขุสอนว่าสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
๓.๒ คุณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม โดยมีประพันธสรรพนามที่ ซึ่ง อัน ผู้ เป็นตัวเชื่อม เช่น
- เธอเป็นคนเหนือผู้ซึ่งอยากไปทำงานในภาคใต้
- ฉันได้รับรางวัลที่ราคาไม่แพงแต่มากด้วยคุณค่าทางจิตใจ
- เราพึงระวังความเสียงต่างๆ อันจะนำไปสู่โรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่- เธอเป็นคนเหนือผู้ซึ่งอยากไปทำงานในภาคใต้
๓.๓ วิเศษณานุประโยค คือ ประโยคย่อยที่ทำหน้าที่ขยายกริยา หรือวิเศษณ์ โดยมีคำประพันธวิเศษณ์เช่น อย่างที่ เมื่อ เพื่อ เพราะ ตาม จน ตั้งแต่ เป็นตัวเชื่อม เช่น
- เธอออกกำลังกายทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- นักวิ่งเป็นลมเมื่อวิ่งมาถึงเส้นชัย
- รถติดในกรุงเทพฯ เพราะมีรถมากกว่าถนน
- เขาเขียนหนังสือตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก

- เธอออกกำลังกายทุกวันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- นักวิ่งเป็นลมเมื่อวิ่งมาถึงเส้นชัย
- รถติดในกรุงเทพฯ เพราะมีรถมากกว่าถนน
- เขาเขียนหนังสือตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก
No comments:
Post a Comment